เนื่องจากในชั้นเรียนปกติมีจำนวนนักเรียนมาก ทำให้เด็กที่มีปัญหาด้านการเรียนมีความกดดันและนำตนเองไปเปรียบเทียบกับเพื่อนในชั้นเรียนซึ่งอาจทำให้เด็กเกิดความเครียด ส่งผลกระทบต่อการเรียนอนาคต 3. เด็กจะไม่กดดันตนเอง มีความมั่นใจมากขึ้น ไม่เกิดการเปรียบเทียบจากเพื่อนในชั้นเรียนเดียวกัน เนื่องจากเป็นการสอนแบบ 1 ต่อ 1 ระหว่างครูการศึกษาพิเศษกับนักเรียน 4. ครูในชั้นเรียนปกติจะจัดการเรียนการสอนตามหลักสูตรแกนกลางตามระดับชั้น ซึ่งไม่ได้รับการปรับเนื้อหาในบทเรียนให้ตรงกับความต้องการเฉพาะของนักเรียน ทำให้ ไม่มีความเข้าใจในบทเรียนและส่งผลต่อผลการเรียน 4. ปรับบทเรียน ใช้เทคนิควิธีการจัดการเรียนการสอนให้สอดคล้องกับความต้องการพิเศษของเด็กแต่ละคน เพื่อให้เด็กสามารถเรียนรู้เนื้อหาในบทเรียนได้อย่างเต็มที่ 5. จัดทำใบความรู้ในรูปแบบเดียวกัน ซึ่งเด็กที่มีปัญหาการเรียนอาจจะมีปัญหาในความเข้าใจและการทำใบงาน 5. จัดทำใบความรู้ ใบงานและสื่อการเรียนรู้ที่มีความเหมาะสมกับความต้องการเฉพาะของเด็กแต่ละคน เอกสารอ้างอิง 1. รายงานวิจัย. ๒๕๕๘. มาตรฐานวิชาชีพครูการศึกษาพิเศษ. (ออนไลน์). แหล่งที่มา:. สืบค้นวันที่ 28 มิถภุนายน 2558.
ศ. 2481 มีการสอนอักษรเบรลล์ (braille) ให้คนตาบอดเป็นครั้งแรกที่ตำบลศาลาแดง จังหวัดพระนคร · ปี พ. 2494 กระทรวงศึกษาธิการ ได้ตั้งหน่วยทดลองสอนคนหูหนวกขึ้นเป็นครั้งแรก ที่โรงเรียนเทศบาล 17 (โรงเรียนวัดโสมนัสในปัจจุบัน) · ปี พ. 2501 กรมสามัญศึกษา ได้ส่งครูในสังกัดไปช่วยสอนเด็กป่วยเรื้อรังตามเตียงในโรงพยาบาลศิริราช โดยเฉพาะโรคไขสันหลังอักเสบ (Poliomyelitis) หรือโรคโปลิโอ · ปี พ. 2503 กระทรวงสาธารณสุข เปิดบริการโรงพยาบาลปัญญาอ่อน เพื่อดูแลผู้ที่มีความบกพร่องทางสติปัญญา ที่ถนนดินแดง (สถาบันราชานุกูลในปัจจุบัน) การศึกษาพิเศษมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง จนในปัจจุบันมีทางเลือกในการศึกษาเพิ่มขึ้น ทั้งในรูปแบบสถานศึกษาเฉพาะความพิการ ศูนย์การศึกษาพิเศษ ศูนย์การเรียนเฉพาะความพิการ การเรียนร่วม ห้องเรียนคู่ขนาน ห้องเรียนปกติ รวมถึงการศึกษานอกโรงเรียน และการศึกษาตามอัธยาศัย เอกสารอ้างอิง การจัดการศึกษาสําหรับคนพิการ พ. 2551, พระราชบัญญัติ. (5 กุมภาพันธ์ 2551). ใน: ราชกิจจานุเบกษา. เล่ม 125 (ตอนที่ 28 ก); หน้า 2. การจัดการศึกษาสําหรับคนพิการ (ฉบับที่ 2) พ. 2556, พระราชบัญญัติ. (17 พฤษภาคม 2556). เล่ม 130 (ตอนที่ 42 ก); หน้า 1.
ศูนย์วิชาการ แฮปปี้โฮม รวบรวมและเผยแพร่ ข้อมูลความรู้ทางวิชาการ ที่เกี่ยวข้องในการพัฒนาเด็กและวัยรุ่น รวมถึงการรับจัดฝึกอบรม สัมมนา กิจกรรมวิชาการ นิทรรศการเผยแพร่ความรู้ เพื่อเป็นการเรียนรู้ร่วมกันระหว่าง ผู้ปกครอง นักวิชาการ และประชาชนทั่วไปที่สนใจ H A P P Y H O M E A C A D E M Y การศึกษาพืเศษ Special Education นพ.
ทวีศักดิ์ สิริรัตน์เรขา. (2561). คู่มือการดูแลสุขภาพจิตเด็ก กลุ่มปัญหาการเรียน. (พิมพ์ครั้งที่ 2). กรุงเทพฯ: พรอสเพอรัสพลัส. ทวีศักดิ์ สิริรัตน์เรขา. คู่มือการดูแลเด็กออทิสติก. กรุงเทพฯ: บียอนด์ พับลิสชิ่ง. ส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ พ. 2550, พระราชบัญญัติ. (27 กันยายน 2550). เล่ม 124 (ตอนที่ 61 ก); หน้า 8-24. Volkmar, F. R., Klin, A. (2000). Pervasive developmental disorders. In: Comprehensive textbook of psychiatry volume II, 7 th ed, Sadock, B. J., Sadock, V. A., (eds). Baltimore: William & Wilkins, pp. 2659-2678. Volkmar, F. R., Lord, C., Clin, A., Schultz, R., Cook, E. H. (2004). Autism and the pervasive developmental disorders. In: Lewis's child and adolescent psychiatry: a comprehensive textbook, 4 th ed, Martin A and Volkmar FR, eds. 384-422. บทความฉบับแก้ไขล่าสุด: กันยายน 2562 บทความทั้งหมดยินดีให้นำไป เผยแพร่เพื่อความรู้ได้ โดยกรุณาอ้างอิงแหล่งที่มา ทวีศักดิ์ สิริรัตน์เรขา. (2562). การศึกษาพืเศษ. [Online]. Available URL: ดาวน์โหลดบทความ »
3. What is a Special Education Teacher?.. สืบค้นวันที่ 28 มิถุนายน 2558.
ครูในชั้นเรียนปกติ มีคุณวุฒิทางการศึกษาในวิชาทั่วไป เช่น ภาษาไทย สังคมศึกษา วิทยาศาสตร์ ภาษาอังกฤษ คณิตศาสตร์ เป็นต้น โดยส่วนใหญ่จะเน้นทักษะวิชาการสอนจากเนื้อหาในบทเรียนตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน ซึ่งเนื้อหาในการจัดการเรียนการสอนอาจจะไม่เหมาะกับเด็กที่มีปัญหาทางด้านการเรียนรู้บางกลุ่ม เช่น นักเรียนที่มีปัญหาการอ่าน การเขียน การคิดวิเคราะห์หรือการอ่านจับใจความ ส่งผลให้เด็กมีผลการเรียนที่ต่ำกว่าเกณฑ์ 1. ครูการศึกษาพิเศษ ต้องมีคุณวุฒิทางการศึกษาพิเศษ หรือเป็นครูที่ผ่านการอบรมด้านการสอนเด็กที่มีความต้องการพิเศษโดยเฉพาะ ซึ่งครูการศึกษาพิเศษเป็นครูที่เน้นการแก้ไขปัญหาทางด้านการเรียนพื้นฐาน 3 ด้านหลักๆ ได้แก่ -ด้านทักษะการอ่าน (Dyslexia) -ด้านทักษะการเขียน (Dysgraphia) -ด้านทักษะคณิตศาสตร์ (Dyscalculia) 2. สัดส่วนของห้องเรียนในชั้นเรียนปกติจะมีนักเรียน 30 – 40คน ซึ่งจะทำให้มีการดูแลได้ไม่ทั่วถึง และไม่ทราบปัญหาทางด้านพฤติกรรมและการเรียนของเด็กได้อย่างละเอียด 2. สัดส่วนของนักเรียนที่ครูต้องรับผิดชอบนั้นต่ำกว่าห้องเรียนปกติ ครูจึงสามารถดูแลนักเรียนได้ทั่วถึง รู้จักเด็กแต่ละคนว่ามีจุดแข็ง จุดอ่อนในด้านใด ควรได้รับการแก้ไขและพัฒนาในจุดใด และทราบปัญหาทางด้านพฤติกรรมและการเรียนของเด็กได้อย่างละเอียด 3.